รู้จักกับหนูฮิปโปแคระ

ด้วยเพราะบนโลกนี้ยังมีสัตว์อีกมากมายที่เราอาจยังไม่รู้จัก แต่คุณสามารถที่จะพบเรื่องราวของสัตว์บนโลกนี้ได้ที่นี่ อย่างเช่นวันนี้ที่เราจะนำมาเสนอ เป็นสัตว์เลี้ยงที่เพิ่งเป็นที่รู้จักได้ไม่นาน เป็นสัตว์ที่เชื่อว่าหลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามีอยู่นั่นก็คือ หนูฮิปโปแคระ นั่นเองว่าแล้วเรามาทำความรู้จักกับเจ้าหนูฮิปโปแคระกันดีเลย – หนูฮิปโปแคระคืออะไร หนูฮิปโปแคระ ก็คือหนูแกสบี้อีกหนึ่งสายพันธุ์ ที่มีชื่อพันธุ์ว่า Baldwins จัดเป็นหนูไม่มีขน เป็นสัตว์ฟันแทะ บ้านเกิดอยู่ที่ เมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา หนูฮิปโปนั้นเกิดจากการกลายพันธุ์ที่มาจากการผสมพันธุ์ระหว่างหนูแกสบี้ด้วยกันเอง ที่ต่างสายพันธุ์กัน เมื่อเกิดใหม่นั้นเจ้าหนูฮิปโปแคระจะมียังมีขนอยู่ตามตัวพอเริ่มโตขนของมันก็จจะเริ่มร่วงจนกลายเป็นหนูไม่มีขน และต่อมาได้มีบุคคลที่พัฒนาสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป เหตุผลที่คนไทยเรียกหนูชนิดนี้ว่า“ฮิปโป” เนื่องจากมีลักษณะรูปร่างคล้ายกับตัวฮิปโป ย่อส่วนลงมา เป็นสัตว์เลี้ยงที่แปลกอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยเริ่มนำเข้ามาเลี้ยงประมาณ 1-2 ปีที่ผ่านมานี้เอง – ลักษณะของหนูฮิปโป เจ้าหนูฮิปโปมีรูปร่างที่กระปุกลุก ลำตัวอ้วนสั้น คอสั้น ขาสั้น ขนเรียบเป็นมัน มีเต้านม 1 คู่ ทั้งตัวผู้และตัวเมีย ขาหน้ามีนิ้วเท้า 4 นิ้ว และขาหลังมีนิ้วเท้า 3 นิ้ว ตัวผู้มีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย โดยน้ำหนักเมื่อโตเต็มวัยอยู่ที่ประมาณ 1ก.ก เท่านั้นมีขนน้อย ที่ตามตัวมีสีคล้วยสีของวัว – อุปนิสัย เจ้าหนูฮิปโปแคระนี้เป็นหนูที่มีนิสัยไม่ดุดัน อุปนิสัยโดยรวมนั้นคล้ายกับหนูแกสบี้ ค่อนข้างเชื่องซึ่งมีน้อยกลุ่มมากที่จะแสดงนิสัยก้าวร้าว […]
5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณยัง ลืมแฟนเก่าไม่ได้

หากความรักเดินทางมาถึงทางตัน จนทำให้ต่างฝ่ายต้องเลิกราจากกันไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายมีคนใหม่ หรือทำความผิดจนเกินให้อภัยได้ก็ตาม เราก็ต้องเดินหน้าต่อเพื่อใช้ชีวิตตามปกติต่อไป แต่ในการเลิกราจากกันไปนั้นก็ไม่ใช่ว่าเราจะทำใจให้ลืมกันได้ง่าย ๆ ทีนี้เราจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้เราลืมเค้าคนนั้นได้จริง ๆ แล้วหรือยัง วันนี้เรามีสัญญาณแจ้งเตือนมาบอกค่ะว่ามีอะไรบ้างที่คุณยัง ลืมแฟนเก่าไม่ได้ ตามมาดูกันเลยค่ะ สัญญาณอันตรายที่บอกว่าคุณ ลืมแฟนเก่าไม่ได้ คุณยังคิดโทษตัวเองอยู่ตลอดว่าถ้าไม่ทำตัวแบบนั้นในวันนั้น ทุกอย่างก็คงไม่จบลงในวันนี้ ความคิดแบบนี้เป็นสัญญาณแรกที่บอกว่าคุณยัง ลืมแฟนเก่าไม่ได้ ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ทำใจแล้วปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นมองอนาคตเพื่อก้าวไปข้างหน้า ดีกว่าจมอยู่กับความรู้สึกแย่ ๆ จะดีกว่าค่ะ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของการตัดใจไม่ได้ก็คือ คุณยังพยายามส่องตามโซเชียลต่าง ๆ ของเขาอยู่เสมอ หากคุณยังไม่เลิกติดตามก็จะยิ่งคิดมากขึ้นไปอีก ดังนั้นหากคุณอยากลืมเค้าให้ได้เร็ว ๆ ก็ต้องเลิกติดตามหรือส่องโซเชียลของเขาทุกช่องทางค่ะ เมื่อคุณไม่รับรู้ ไม่สนใจ ก็จะทำให้คุณลืมเขาไปได้ง่ายขึ้นค่ะ ถึงคุณจะมีคนใหม่เข้ามาในชีวิตแล้ว แต่ยังอดคิดเปรียบเทียบคนใหม่กับแฟนเก่าไม่ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนคุณก็ยังคงมีเขาอยู่ในใจตลอดเวลา ไม่สามารถลบเขาออกไปจากใจได้เลย ความรู้สึกแบบนี้จะทำให้คุณไม่สามารถเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ได้ค่ะ เวลาที่คุณอยู่กับเพื่อนหรือใครก็ตาม ก็มักจะพูดถึงเขาอยู่บ่อย ๆ และยังคอยติดต่อเพื่อนหรือครอบครัวของเขาอยู่เสมอ นั่นก็เป็นอีกสัญญาณที่บอกว่าคุณยังลืมแฟนเก่าไม่ได้ค่ะ คุณยังคงมีความหวังว่าสักวันหนึ่ง ทั้งคุณและเขาจะมีโอกาสได้กลับมารักกันอีกครั้ง ซึ่งถ้าหากในความคิดคุณเป็นแบบนี้ก็ชัดเจนมาก ๆ แล้วค่ะว่าคุณยังไม่สามารถลืมเขาได้อย่างแน่นอน ทั้ง 5 ข้อนี้มีข้อไหนที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณในตอนนี้บ้างคะ ถ้ามีข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ก็บ่งบอกได้ว่าคุณยัง […]
ตัดสินใจรับแอดเพื่อนใน Facebook อย่างไรให้ปลอดภัย

คนสมัยนี้ส่วนใหญ่ที่เล่น Facebook กัน หากไม่ใช่ผู้ใหญ่หรือคนที่มีแวดวงเป็นของตัวเองเมื่อ Facebook ขึ้นแจ้งเตือนว่ามีคนส่งคำร้องขอเป็นเพื่อนกับตัวเองใน Facebook ก็มักจะกดรับแอดเพื่อนตามคำขออย่างง่ายดายโดยไม่ดูที่มาที่ไปของอีกฝ่ายเลยว่าทำไมจู่ ๆ ถึงแอดตัวเองมา? รู้จักได้อย่างไร? ขอแอดมาด้วยจุดประสงค์ใด? แล้วพอรับมาก็กลับมาสร้างความวุ่นวายให้แก่ชีวิตคุณ มีแต่เรื่องที่ไม่เหมาะสมลงในหน้าฟีดข่าวบ่อย ๆ จนต้องกดลบไปก็หลายคน และบางคนก็ส่งข้อความแชทมาในเชิงชู้สาวซะอย่างงั้น การรับแอดเพื่อนใน Facebook จึงควรมีการตัดสินใจให้ดีเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของคุณ ดังนี้ – ดูประวัติการโพสต์ของทุกคนก่อนรับแอดเพื่อนใน Facebook ก่อนรับแอดเพื่อนใน Facebook คุณควรจะกดเข้าไปดูกิจกรรมและประวัติการโพสต์ Facebook ในโปรโฟล์ของเพื่อนคนนั้นก่อนเพื่อตรวจสอบว่าอีกฝ่ายมีลักษณะนิสัยอย่างไร มีความสนใจส่วนตัวเป็นไปในทิศทางไหน อัธยาศัยต่อคนส่วนมากเป็นอย่างไร แล้วมักชอบทำอะไร เพื่อที่จะได้สแกนด้วยดุลยพินิจว่าสิ่งที่เป็นตัวของตัวเองในอีกฝ่ายเหมาะกับการที่คุณจะตอบรับแอดเขาเป็นเพื่อนใน Facebook หรือไม่ เพราะหากเขาเป็นคนที่มักโพสต์อะไรแรง ๆ ซึ่งขัดกับตัวคุณที่ชอบอีกอย่างก็ย่อมทำให้คุณเจอโพสต์ของเขาที่สร้างความวุ่นวายกับชีวิตคุณได้ บางทีแอดไปแล้วเขาก็อาจมาทักทายคุณบ่อย ๆ ซึ่งมักชวนคุยในสิ่งที่ไม่ชอบ พอบล็อกก็อาจสร้างความขุ่นเคืองกันได้ สู้ไม่รับแอดแต่ต้นดีกว่า – ตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวของทุกคนก่อนรับแอดเพื่อนใน Facebook การตรวจสอบข้อมูลและประวัติส่วนตัวของคนที่มาขอรับแอดคุณใน Facebook จะสามารถช่วยให้คุณรู้จักเขาในเบื้องต้นได้ว่าทำงานอะไร อายุเท่าไหร่ สนใจด้านไหน เพราะนอกจากจะทำให้คุณตัดสินใจเลือกและรู้ว่าเขาอยู่ในแวดวงกลุ่มไหนของสังคม […]
คุณสมบัติของ “ผู้ดีแท้จริง”

ใคร ๆ ต่างก็บอกเหมือนกันหมดว่า “ผู้ดี” คือเหล่าคนที่มีฐานะร่ำรวย อยู่ในสังคมชั้นสูง เข้าสังคมเก่ง ใช้ชีวิตหรูหราแตกต่างจากเรา ๆ โดยสิ้นเชิง แต่ความจริงแล้วนั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปสมัยก่อนนี้ลูกคนรวยมักจะถูกเลี้ยงดูแบบใกล้ชิด ได้รับความรักจากพ่อแม่เต็มที่ทำให้เติบโตมาเป็นคนดี รู้จักการวางตัวที่เหมาะสม แตกต่างจากชาวบ้านที่สมัยก่อนส่วนมากจะหาเช้ากินค่ำทำให้การเลี้ยงลูกแม้พวกเขาจะเป็นคนดี แต่ก็มีการปล่อยปละละเลยในการอบรมนิสัยการวางตัวในสังคม ทำให้คนรวยถูกมองว่าเป็นผู้ดี แต่สมัยนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานของผู้คนและการเลี้ยงลูก ทุกคนสามารถเป็นผู้ดีได้หากมีคุณสมบัติในตัว ดังนี้ – ผู้ดีที่มีมารยาท การที่คุณถูกเลี้ยงดูมาให้มีการวางตัวที่ดีในสังคม สามารถเข้าหาคนอื่นเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นจนคนอื่นรักได้จะทำให้ผู้อื่นมองคุณว่าเป็นคนที่ไม่เย่อหยิ่งและเป็นกันเอง นอกจากนั้นหากคุณพูดจาไพเราะ ไม่มีคำหยาบ ปฏิบัติตนได้เหมาะสมตามสถานการณ์ไม่ว่าจะเป็นการเลือกชุดที่ถูกต้อง การแสดงความเคารพ และมารยาทเวลาอยู่กับคนทุกวัยได้เป็นอย่างดีจะทำให้มีแต่คนเอ็นดูและเจอแต่คนดี ๆ ที่อยากเข้าหาคุณ นี่คือสมบัติของผู้ดี – ผู้ดีที่มีจิตใจแน่วแน่มั่วคง การที่คุณมีจิตใจแน่วแน่ ไม่หวั่นเกรงกลัวต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ในการพูดเจรจาหรือตัดสินใจจะทำอะไรสักอย่าง ไม่มองคนอื่นที่ภายนอกเพียงผิวเผิน ควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้จักการประนีประนอม แม้จะโกรธใครมากก็ยังคงบอกกับตัวเองว่าเขาย่อมมีเหตุผลในการสร้างปัญหาแก่คุณ ขอเพียงคุณไม่จิตใจสั่นไหวคล้อยตามอย่างไม่มีเหตุผลก็พอแล้ว ไม่ใช่อะไรก็โวยวายเหมือนตัวเองเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุด นี่คือสมบัติของผู้ดี – ผู้ดีที่มีคุณธรรมจริยธรรมในตัวเอง เมื่อคุณเห็นคนรอบตัวได้รับความเดือดร้อนก็ย่อมที่จะไม่รีรอเข้าไปช่วยเหลือ คอยอยู่เคียงข้าง แม้มีคนที่คิดไม่ดีกับคุณ คุณก็พร้อมที่จะให้อภัยพวกเขาได้เสมอเพื่อให้เลิกแล้วต่อกัน […]
“Twin Flames” สองดวงวิญญาณที่แยกออกจากหนึ่งกลายเป็น “คู่ลิขิต”

หากจะกล่าวถึง “เนื้อคู่” ทุกคนย่อมจะรู้จักคำคำนี้ดีว่าเป็น “คู่ครองที่ถูกสร้างมาเพื่ออยู่ร่วมกันในบั้นปลายชีวิตชาตินี้” แต่ความจริงแล้วเนื้อคู่ไม่ได้หมายถึง “คนรัก”เท่านั้น แต่ยังมีความหมายที่กว้างรวมถึงพี่น้อง ญาติ เพื่อน และผู้อาวุโสที่อยู่รอบตัวเราด้วย ด้วยเหตุนี้หากจะใช้คำว่าเนื้อคู่หรือ Soulmate บอกเล่าความรักเชิงหนุ่มสาวก็ควรจะเปลี่ยนเป็น “คู่แท้”มากกว่า หรือจะเรียกว่า “เนื้อคู่ประเภทคู่แท้”ก็ได้ แต่นอกจากคู่แท้จะเป็นบุคคลที่เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของเราในการครองคู่กันแล้ว ก็ยังมีระดับเลเวลการเป็นคู่ที่มากขึ้นกว่านี้อีกในการจัดวาสนาและพรหมลิขิตที่มีการบอกเล่าถึง “Twin Flames” ซึ่งเป็นคู่ที่ยิ่งใหญ่จนแม้แต่เนื้อคู่ที่เป็นคู่แท้ยังไม่สามารถมีความรักความผูกพันกันได้ถึงขนาดนี้เลย แต่เพราะเป็นคู่ที่พบเจอกันยากมากในหมู่มนุษย์ทำให้มีแต่คนสนใจเฉพาะระดับ “Soulmate”เท่านั้น หากคุณอยากรู้ว่า “Twin Flames” คืออะไรล่ะก็มาอ่านกันในบทความนี้เลย ทำความรู้จักกับ “Twin Flames” “Twin Flames” หรือ “สองวิญญาณฝาแฝดจากหนึ่งร่าง” เป็นคู่ลิขิตที่เกิดมาเป็นของกันและกันทางจิตวิญญาณตามความเชื่อของชาวกรีกได้เล่าขานสืบต่อกันมาว่า มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาจะมีดวงจิตสองดวงและร่างสองร่างเชื่อมติดกัน ด้านหน้าเป็นอีกคนและด้านหลังเป็นอีกคนซึ่งมหาเทพซุสก็เกิดความกังวลว่าหากเป็นเช่นนี้ มนุษย์ก็จะมีพลังอำนาจมหาศาลจนทำให้โลกเกิดความวุ่นวายได้จึงทำการแยกร่างกับดวงจิตของมนุษย์ออกจากกันและกำเนิดในที่ที่แตกต่างกันซึ่งพวกเขาจะได้รับภารกิจสำคัญให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์คนละอย่างซึ่งจะวนเวียนมาบรรจบพบกันหลายต่อหลายชาติจนกว่าจะได้เจอกันในสักวันและช่วยกันปฏิบัติภารกิจที่แตกต่างกันให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อโลกมนุษย์ ฉะนั้นนอกจากจะเป็นคู่รักแล้ว พวกเขายังจะเป็นเหมือนกระจกที่คอยส่องกันเองด้วยทำให้มีความเข้าใจมุมมองกันและราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน การพบเจอกันของ “Twin Flames” “Twin Flames” แม้ว่าจะพบเจอได้ยาก แต่ด้วยพรหมลิขิตจะทำให้พวกคุณได้กลับมาเจอกันอย่างแน่นอนแม้จะต้องผ่านการครองคู่กับ Soulmate มากี่ชาติต่อกี่ชาติแต่ท้ายที่สุดก็ต้องมาถึงชาติที่คุณกับ Twin Flames จะได้ครองคู่เป็นคนรักกันอยู่แล้ว […]
รวมเคล็ดลับการดูแลผิวให้ขาวใสตามแบบฉบับสาวเกาหลี

การที่มีผิวพรรณที่มีความขาวกระจ่างใสถือว่าเป็นสิ่งที่สาว ๆหลายคนต้องการมากที่สุดเลยก็ว่าได้ จนทำให้บางคนถึงพยายามที่จะมองหาวิธีการที่จะทำให้ผิวมีความขาวใสในแบบธรรมชาติ แถมในปัจจุบันเทรนการที่มีผิวขาวแบบเกาหลีก็ถือว่ากำลังมาแรงที่สุดอยู่ในขณะที่เลยก็ว่าได้ ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจึงจะมาแนะนำรวมเคล็ดลับการดูแลผิวให้ขาวใสตามแบบฉบับสาวเกาหลีว่าแต่จะมีอะไรบ้างเรามาชมไปพร้อม ๆ กันเลย 1. ทาครีมบำรุงผิว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยทำให้ผิวของสาว ๆ มีความขาวกระจ่างใสมากขึ้น โดยสาว ๆ อาจจะต้องมองหาครีมบำรุงผิวที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดจากนั้นก็หมั่นทาเป็นประจำเช้าและเย็นก็จะช่วยทำให้ผิวมีความขาวกระจ่างใสดั่งเกาหลีได้ในแบบที่ต้องการอีกด้วย 2. การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การที่สาว ๆ หมั่นทานอาหารที่มีประโยชน์และมีสารอาหารที่เพียงพอก็จะมีส่วนช่วยที่จะทำให้ผิวพรรณของสาว ๆ มีความขาวกระจ่างใสที่มากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ก็ยังช่วยทำให้สุขภาพของสาว ๆ ดีขึ้นอีกด้วย 3. พักผ่อนให้เพียงพอ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยสาว ๆจะต้องพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอในแต่ละวัน ซึ่งการที่สาว ๆพักผ่อนเพียงพอก็จะมีส่วนช่วยทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย 4. ดื่มน้ำให้มาก ๆ การที่สาว ๆ ดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำก็จะมีส่วนช่วยที่จะทำให้ผิวพรรณมีความสวยงามและดูเปล่งปลั่งมากขึ้นพร้อมกับยังมีส่วนช่วยในการขับสารพิเศษที่อยู่ในร่างกายให้ออกได้อย่างหมดจดอีกด้วย 5. มีวินัยในการดูแลผิวตัวเอง การที่สาว ๆ จะมีผิวพรรณที่สวยงามแบบสาวเกาหลีได้ในแบบที่ต้องการจะต้องหมั่นดูแลผิวของตัวเองให้มีความขาวกระจ่างใสอย่างสม่ำเสมอด้วยการทาครีมบำรุงพร้อมกับหมั่นขัดผิวเป็นประจำก็จะช่วยทำให้ผิวมีความขาวใสมากขึ้นอีกด้วย เป็นอย่างไรบ้างสำหรับบทความรวมเคล็ดลับการดูแลผิวให้ขาวใสตามแบบฉบับสาวเกาหลีหวังว่าคงจะเป็นบทความที่ถูกใจสาว ๆ ที่กำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้ผิวมีความขาวกระจ่างใสมากขึ้น แถมวิธีการดูแลผิวตามแบบฉบับสาวเกาหลีที่แนะนำไปข้างต้นก็ยังถือว่าเป็นวิธีการที่จะทำให้มีผิวขาวในแบบธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องพึ่งการฉีดผิวหรือการใช้ครีมยี่ห้อแพง ๆอีกด้วย เครดิตภาพ sanook.com, khong-dee.com, women.kapook.com #เรื่องทั่วไป […]
รวม 5 สมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้ดีเยี่ยม

เชื่อว่าสาว ๆ หลายคนอาจจะต้องมีการเสียเงินในราคาแพง ๆ ด้วยการทำทรีตเมนต์หน้าใสกับทางคลินิกหรือสถาบันความงามต่าง ๆ ซึ่งการที่ทำให้ผิวมีความขาวใสด้วยเทคนิคทางการแพทย์ถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้เรามีผิวพรรณที่สวยงามมากขึ้น แต่ก็อาจจะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่มากพอสมควรที่จะส่งผลทำให้สาว ๆ เกิดอาการแพ้จนส่งผลทำให้ใบหน้าพังและเสียโฉมได้ ดังนั้นเราจึงมาแนะนำรวม 5 สมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้ดีเยี่ยม ว่าแต่จะมีอะไรบ้างเรามาชมไปพร้อม ๆ กันเลย 1. น้ำแตงกวา ถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ผิวหน้ามีความเต่งตึงมากขึ้นและดูอ่อนกว่าวัยโดยให้สาว ๆนำแตงกวามาปั่นให้ละเอียดแล้วนำมาทาบริเวณใบหน้าก่อนนอนเป็นประจำทุกคืนซึ่งน้ำในแตงกวาจะมีส่วนช่วยที่จะเติมเต็มผิวให้มีความชุ่มชื้นมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย 2. น้ำแครอท การที่สาว ๆ ดื่มน้ำแครอทเป็นประจำก็จะมีส่วนช่วยทำให้ผิวหน้าและผิวกายมีความกระจ่างใสในแบบธรรมชาติพร้อมกับยังมีส่วนช่วยในการลดเลือนริ้วรอยก่อนวัยอันควรได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และที่สำคัญถ้าดื่มเป็นประจำก็จะมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตาที่จะทำให้การมองเห็นดีขึ้นอีกด้วย 3. ชาดอกคาโมมายล์ สำหรับดอกคาโมมายล์ถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ผิวกายและผิวหน้ามีความชุ่มชื้นมากขึ้นพร้อมกับยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆบนใบหน้าให้ดูจางลงมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า และที่สำคัญถ้าดื่มชาดอกคาโมมายล์เป็นประจำทุกวันที่จะช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวให้มีความแข็งแรงอีกด้วย 4. ตะไคร้ สำหรับการดื่มน้ำตะไคร้เป็นประจำก็จะช่วยทำให้ผิวหน้ามีความชุ่มชื้นมากขึ้นและมีส่วนช่วยในการกระชับรูขุมขนบนใบหน้าให้มีขนาดที่เล็กลงกว่าเดิมหลายเท่า และที่สำคัญน้ำตะไคร้ยังช่วยทำให้สาว ๆมีสุขภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย 5. ว่านหางจระเข้ สำหรับสาว ๆที่อยากจะมีใบหน้าที่ขาวกระจ่างใสขอแนะนำให้มองหาว่านหางจระเข้มาพอกหน้าเป็นประจำก่อนนอนก็จะมีส่วนช่วยในการลดเลือนรอยแผลเป็นต่าง ๆบนใบหน้าให้ดูจางลงพร้อมกับเผยผิวที่มีความขาวกระจ่างใสที่มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย จบกันไปแล้วนะคะสำหรับบทความรวม 5 สมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูผิวหน้าได้ดีเยี่ยมหวังว่าคงจะเป็นบทความที่ถูกใจสาว ๆที่กำลังมองหาตัวช่วยที่จะทำให้ผิวพรรณมีความขาวกระจ่างใสมากขึ้น แถมสมุนไพรที่ผู้เขียนแนะนำไปข้างต้นก็ยังมาพร้อมกับคุณประโยชน์มากมายหลายอย่างที่จะช่วยทำให้ผิวมีความขาวกระจ่างใสในแบบธรรมชาติอีกด้วย เครดิตภาพ women.kapook.com #เรื่องทั่วไป #เกร็ดความรู้รอบตัว #เทคนิคต่างๆ #สาระน่าสนใจ #สมุนไพรช่วยฟื้นฟูผิวหน้า
ทริคปรับการขับถ่ายให้เป็นเวลา

การขับถ่ายให้เป็นเวลาถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่เราเชื่อว่าก็ยังมีอีกหลายคนที่ขับถ่ายยาก หรือถ่ายไม่ค่อยออก เป็นปัญหาที่ค่อนข้างอึดอัดเลยทีเดียว เพราะการไม่ขับถ่ายบ่อยๆจะส่งผลให้ลำไส้ดูดน้ำในอุจจาระมากขึ้น จนอุจจาระมีความแข็งและไปขูดกับผนังลำไส้จนเลือดออกได้ ใครที่ขับถ่ายไม่เป็นเวลาไม่ต้องกังวลนะคะ วันนี้เรามีทริคปรับการขับถ่ายให้เป็นเวลามาแจกเพื่อนๆทุกคน รับรองว่าได้ผลแน่นอนค่ะ 1. รีบเข้าห้องน้ำตั้งแต่เช้า สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะแก่การเข้าห้องน้ำก็คือช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 05.00-07.00 น. แต่หากไม่ปวดก็ไม่ควรเบ่งนะคะ เพราะอาจทำให้เกิดริดสีดวงตามมาได้ เพียงแค่ฝึกเข้าห้องน้ำให้ตรงเวลาการขับถ่ายเป็นเวลาก็จะตามมาเองค่ะ 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังกายถือว่าเป็นตัวช่วยที่ดีที่ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น นอกจากจะช่วยให้เราสามารถขับถ่ายเป็นเวลาแล้ว ยังช่วยให้ระบบต่างๆในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายหนักๆก็ได้ เพียงแค่เดิน วิ่ง หรือกระโดดเชือกก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแล้วค่ะ 3. พักผ่อนให้เป็นเวลา ข้อนี้ก็ถือว่าสำคัญมาก เพราะหากเราพักผ่อนไม่เป็นเวลา ก็จะทำให้ระบบการทำงานในร่างกายแปรปรวน รวมไปถึงระบบขับถ่ายที่ทำให้ถ่ายไม่เป็นเวลานั่นเอง ดังนั้นหากอยากขับถ่ายให้เป็นเวลา ควรทานอาหารให้ตรงเวลา นอนและตื่นให้ตรงเวลา การขับถ่ายก็จะตรงเวลาไปด้วยแน่นอน 4. ดื่มน้ำทุกเช้าหลังตื่นนอน หลังจากตื่นนอนในตอนเช้าแล้วควรหยิบน้ำมาดื่มทันทีอย่างน้อย 1 แก้ว เพื่อเป็นการปลุกระบบย่อยอาหารให้เริ่มตื่นตัว ระบบขับถ่ายก็จะตื่นตัวตามไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้เราขับถ่ายเป็นเวลาอย่างแน่นอน 5. ทานอาหารที่มีกากใยสูง ปัญหาการขับถ่ายไม่ว่าจะถ่ายยากหรือถ่ายบ่อยก็มาจากอาหารที่เราทานนั่นเอง หากอาหารที่เราทานมีกากใยไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดอาการท้องผูก ควรเลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆเพื่อให้ขับถ่ายเป็นเวลาได้ง่ายขึ้น 6. […]
5 วิธีการดูแลผิวก่อนนอนให้มีความขาวกระจ่างใส

การที่จะมีผิวหน้าที่ขาวใสถือว่าเป็นความฝันของสาว ๆ หลายคนก็ว่าได้จนทำให้สาว ๆบางคนถึงกับถึงหาครีมยี่ห้อแพง ๆมาใช้กันในแบบที่หลากหลายจนส่งผลทำให้บางคนถึงกับหน้าพังกันมาแล้วก็มี ดังนั้นในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำ 5 วิธีการดูแลผิวก่อนนอนให้มีความขาวกระจ่างใส ว่าแต่จะมีอะไรบ้างเรามาชมไปพร้อม ๆ กันเลย 1. ล้างหน้าให้สะอาดทุกครั้ง ภายหลังจากที่สาว ๆ แต่งหน้ามาตลอดทั้งวันควรมีการทำความสะอาดในแบบที่ถูกวิธีด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนจึงจะมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างหมดจดพร้อมกับยังมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีในระดับหนึ่งอีกด้วย 2. การใช้โทนเนอร์ ภายหลังจากที่สาว ๆแต่งหน้ามาตลอดทั้งวันในส่วนของการล้างหน้าที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายควรมีการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยการใช้โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแตงกวาและสารบำรุงก็จะมีส่วนช่วยในการทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึกพร้อมกับยังช่วยทำให้ผิวหน้ามีความสะอาดมากขึ้นอีกด้วย 3. ควรทาอายครีมก่อนนอนทุกครั้ง สำหรับผิวบริเวณรอบดวงตาถือว่ามีความสำคัญมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นควรมองหาอายครีมยี่ห้อดี ๆมาบำรุงผิวบริเวณรอบดวงตาเป็นประจำก่อนนอนทุกวันก็จะช่วยทำให้ผิวบริเวณรอบดวงตามีความเต่งตึงมากขึ้นอีกด้วย 4. หมั่นทาวาสลีนเป็นประจำ สำหรับวานสลีนถือว่าเป็นไอเท็มสำคัญที่จะช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื่นมากยิ่งขึ้น แถมยังมีส่วนช่วยที่ทำให้ผิวบริเวณข้อศอก หัวเข่า ส้นเท้า มีความนุ่มและมีส่วนช่วยในการปรับสภาพผิวให้มีความขาวกระจ่างใสอีกด้วย 5. หมั่นทาครีมบำรุงมือเป็นประจำ สำหรับมือถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สาว ๆ ควรดูแลมากที่สุดเลยก็ว่าได้ดังนั้นควรมองหาครีมทามือยี่ห้อดี ๆที่มีส่วนผสมของวิตามินอีจึงจะมีส่วนช่วยที่จะทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นพร้อมกับมีส่วนช่วยในการลดความแห้งกร้านได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย เป็นอย่างไรบ้างสำหรับบทความ 5 วิธีการดูแลผิวก่อนนอนให้มีความขาวกระจ่างใส หวังว่าคงจะเป็นบทความที่ถูกใจสาว ๆที่กำลังมองหาวิธีการบำรุงผิวให้มีความกระจ่างใสด้วยวิธีธรรมชาติโดยที่จะไม่ส่งผลข้างเคียงใด แถมวิธีการดูแลผิวที่ผู้เขียนแนะนำไปข้างต้นก็ยังถือว่าเป็นวิธีการดูแลผิวในแบบเบื้องต้นที่จะช่วยทำให้ผิวของสาว ๆมีความขาวใสในแบบไม่ต้องพึ่งการฉีดผิวหรือใช้ครีมในราคาแพงใด ๆ อีกด้วย เครดิตภาพ women.kapook.com #เรื่องทั่วไป #เกร็ดความรู้รอบตัว #เทคนิคต่างๆ #สาระน่าสนใจ #วิธีการดูแลผิวก่อนนอน
วัฒนธรรมการดื่มชาของจีนโบราณจนถึงปัจจุบัน

การดื่มชาของประเทศจีนไม่ใช่เพียงแค่ดื่มเพื่อเป็นอาหารเพียงเท่านั้น แต่มันยังแฝงไว้ถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตการเมือง และประเพณีอันดีงามซึ่งเชื่อว่าเริ่มต้นถือกำเนิดเกิดมาที่บริเวณดินแดนเสฉวน ซึ่งว่ากันว่าการดื่มชานี้มีต้นกำเนิดมาจากฮ่องเต้องค์หนึ่งที่ชื่อ เสินหนง ซึ่งเป็นปรมาจารย์แห่งการปลูกชา ที่ได้มีการบันทึกคัมภีร์สมุนไพรของตนขึ้นโดยกล่าวไว้ว่าตนนั้นเคยชิมสมุนไพรต่างๆ มากถึง 100 ชนิดในวันเดียว ทำให้ถึงขั้นถูกพิษ 72 ชนิดในวันเดียวกัน ดีแต่ในท้ายที่สุดพิษทั้งหมด ก็ถูกขจัดออกไปได้ด้วยการดื่มใบชา การดื่มชานั้นเกิดขึ้นก่อนคริสตกาลประมาณ 2 พันกว่าปี จากการศึกษาทางประวัติศาสตร์นั้นพบว่า ได้เริ่มมีการจารึกตำราเกี่ยวกับการชงชา หรือชงชาสำหรับดื่มมาตั้งแต่ประมาณ 2,697 ก่อนช่วงคริสตกาล โดยเฉพาะในสมัยฮั่นตะวันออกว่ากันว่าหมอชื่อดังในอดีตที่ขึ้นชื่อว่าหมอเทวดาหัวโต๋เอง ก็ได้เคยมีการจดบันทึกเอาไว้ว่าชานั้นมีสรรพคุณในทางยาซึ่งช่วยในการบำรุงสมองอีกด้วย การดื่มชานั้นแทรกอยู่ในทุกยุคสมัยของจีนโบราณ 1 ในยุคสมัยที่กล่าวว่าสำคัญที่สุดสำหรับวัฒนธรรมการดื่มชาในจีนโบราณนั่นก็คือยุคราชวงศ์ถัง ที่ว่ากันว่าเป็นยุคที่เฟื่องฟูทั้งในด้านวัฒนธรรม และทางด้านเศรษฐกิจ โดยในยุคดังกล่าวได้ถือกำเนิดปรมาจารย์ชา หรือผู้ที่ถูกเรียกว่าเซียนชาที่ชื่อ ลู่อวี่ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มศึกษาวิชาดื่มชาเป็นคนแรก ซึ่งได้ทำการทุ่มเทชีวิตให้กับการศึกษาวิชาเกี่ยวกับชาอย่างจริงจัง จนกระทั่งสามารถบันทึกความรู้ซึ่งกลายมาเป็นคัมภีร์แห่งชามาจนถึงปัจจุบัน เขาว่ากันว่าชากลายมาเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมที่สำคัญในราชสำนักราชวงศ์ซ่งในเวลาต่อมา ขุนนางใดที่ทำคุณทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองได้เป็นอย่างดี ก็จะมีการได้รับพระราชทานชาคุณภาพดีจากองค์จักรพรรดิ วัฒนธรรมการใช้ชาเป็นเครื่องดื่มต้อนรับแขกที่เข้ามาเยี่ยมบ้านเมือง แม้แต่การใช้ชาเป็นของหมั้นหมาย และวิธีดื่มชาในการแต่งงานก็ได้เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ชากับประเทศจีนในปัจจุบัน ว่ากันว่าในปัจจุบันเมืองหังโจวได้พัฒนามาเป็นจุดศูนย์กลางของเหล่าผู้ที่รักในวัฒนธรรมชาของประเทศจีนถึงขั้นมีการก่อตั้งสมาคมบ้านคนรักชาขึ้นในปี 1982 จากนั้นก็มีการสร้างศูนย์วิจัยวัฒนธรรมสากลแห่งประเทศจีนขึ้นที่เมืองหังโจวในปี 1991 และการเปิดพิพิธภัณฑ์ใบชาแห่งเมืองหังโจวในปี 1998 แล้วจะยังเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์สำคัญที่ส่งผลถึงเศรษฐกิจของประเทศจีนอย่างมากอีกด้วย #วัฒนธรรมการดื่มชา #ชา